หลายคน ๆ มักจะต้องประสบพบเจอกับความผิดปกติบนผิวหนังกันไม่มากก้น้อย ซึ่งอาจจะเป็นแค่อาการเล็กน้อย หรืออาจจะรนแรงจนกลายเป็นโรคผิวหนังเลยก็เป็นได้ ซึ่งจำเป็นต้องระมัดระวังและคอยดูแลให้ดี เพื่อไม่ให้อาการลุกลามจนเกิดเป็นอันตรายได้
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ โรคผิวหนัง
โรคผิวหนัง คืออะไร?
โรคผิวหนัง คือ อาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นบนผิวหนังส่วนต่าง ๆ ในร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็น อาการผื่น คัน เป็นรอยแดง ซึ่งแต่ละอาการก็มีหลายสาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดแตกต่างกันไป ทั้งอาหารการกิน สภาพอากาศ สภาพร่างกาย หรือโรคทางพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดความผิดปกติแสดงออกมาบนผิวหนัง โดยโรคผิวหนังนั้นก็มีอยู่หลายชนิด วันนี้เราเลยมี 8 โรคผิวหนัง ที่มักจะพบเจอได้บ่อย ๆ และมีโอกาสที่จะเป็นได้ง่าย เพื่อให้ทุกคนได้รู้ข้อมูลวิธีการป้องกันและรักษาโรคผิวหนังได้
8 โรคผิวหนัง พบเจอได้บ่อย
1. สิว สิวผด สิวเสี้ยน
สิวนั้นเกิดจากความผิดปกติของรูขุมขนและต่อมไขมันในรูขุมขน ซึ่งปกติแล้วเมื่อร่างกายมีการสร้างไขมันจากต่อมไขมัน ตัวไขมันเหล่านั้นก็จะออกมาทางรูขุมขน แต่ถ้าหากมีการอุดตันเกิดขึ้น ทำให้ไขมันไม่สามารถออกมาจากรูขุมขนได้ ก็จะทำให้ไขมันเหล่านั้นกลายเป็นสิวขึ้นมาได้ ซึ่งก็มีสิวอยู่หลายรูปแบบ เช่น สิวอุดตัน สิวผด หรือสิวเสี้ยน เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังแบ่งสิวออกได้เป็น 2 ชนิด ตามลักษณะของสิวที่เกิดขึ้น คือ สิวที่ไม่มีการอักเสบและสิวที่มีการอักเสบ ซึ่งเจ้าตัวสิวที่มีการอักเสบนั้น เป็นหนึ่งในปัญหาผิวหนังที่ทำให้หลายคนปวดหัวมาก ๆ เพราะถ้าเกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้นมา ก็จะมีการลุกลามได้ง่าย การรักษาก็ยิ่งยากขึ้น และอาจจะทำให้เกิดรอยแผลหรือหลุมสิวที่แก้ได้ยากนั่นเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเหล่านั้น จึงต้องหมั่นทำความสะอาดผิวอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะผิวหน้า เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอุดตันและการอักเสบขึ้น
2. โรคลมพิษ
เมื่อเกิดผื่นแดง และมีอาการคันบนผิวหนัง อาจจะเป็นอาการของโรคลมพิษ (Urticaria) ก็เป็นได้ โดยลักษณะของลมพิษนั้นจะสังเกตได้จาก บริเวณผิวหนังเกิดผื่นเป็นปื้น เป็นรอยนูนสีแดงขึ้นมา และจะขึ้นกระจายไปตามแขน ขา ใบหน้า ไม่มีขุย สาเหตุของโรคลมพิษนั้นเกิดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือแพ้พิษจากแมลงต่าง ๆ
นอกจากนี้ ยังสามารถเกิดได้จากการไปสัมผัสสารเคมี เครื่องสำอาง อากาศที่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป เหงื่อที่ไหลหลังจากการออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ก็เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดลมพิษได้ เมื่อรู้สามเหตุแล้ว ก็จะสามารถป้องกันและรักษาได้ทัน เมื่อเคยเกิดขึ้นแล้ว ครั้งต่อไปก็ต้องคอยหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นให้ดี เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำ เพราะบางครั้งนอกจากอาการคันตรงจุดที่เกิดผื่นแดงแล้ว ยังอาจจะมีอาการปวดท้อง หายใจติดขัด แน่นจมูกร่วมด้วย
3. สะเก็ดเงิน (โรคเรื้อนกวาง)
โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรัง มีสาเหตุมาจากเม็ดเลือดขาวมีการทำงานมากผิดปกติ ผิวหนังจึงแบ่งตัวได้เร็วขึ้น ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินจะมีอาการผื่นขึ้นเป็นสีแดง หนา และมีขุยสีขาวอยู่รอบ ๆ คล้ายกลับรังแค ลักษณะเป็นสะเก็ด โดยจะเกิดขึ้นได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่มีการแพร่เชื้อสู่บุคคลภายนอกได้ แต่มีผลทางพันธุกรรม แต่ก็ไม่ได้ส่งต่อได้ 100% การรักษานั้นส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อให้อาการของโรคสงบลงเท่านั้น ยังไม่สามารถรักษาได้หายขาด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรง ผู้ป่วยต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ลดการสูบบุหรี่และอื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น
4. อีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส เป็นโรคผิวหนังยอดฮิตที่มักจะเกิดขึ้นในเด็กเล็ก เพราะมีการแพร่ระบาดได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีเด็กเป็นโรคนี้ ก็สามารถแพร่เชื้อได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน หรือสถานเลี้ยงเด็กต่าง ๆ สามารถพบเจอได้ตลอดทั้งปี แต่ส่วนมากจะพบในช่วงฤดูหนาว
มีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใส ๆ กระจายตามผิวหนัง อาการความรุนแรงขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ส่วนใหญ่ก็สามารถหายได้เอง ไม่ค่อยมีภาวะแทรกซ้อน ผู้ปกครองสามารถป้องกันไว้ก่อนได้โดยการพาเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี และไม่เคยเป็นโรคไปฉีดวัคซีน 2 เข็ม สามารถป้องกันการเกิดโรคและช่วยลดอาการที่รุนแรงได้
5. ตาปลา
เมื่อผิวหนังของเราเกิดการเสียดสีบ่อย ๆ ผิวหนังบริเวณนั้นก็จะเกิดการตอบสนองด้วยการแข็งตัวขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเกิดตามผิวหนังทั่วไปก็ยังไม่ได้สร้างความเจ็บปวดมากเท่าไหร่ เพียงแค่จะมีผิวที่แข็งกระด้างขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นตาปลาบริเวณนิ้วเท้า ที่มีสาเหตุมาการการใส่รองเท้าที่คับแน่นจนเกินไป ก็อาจจะมีตุ่มเล็ก ๆ เกิดขึ้นได้
ซึ่งตุ่มเหล่านี้จะสร้างความเจ็บปวดให้จนทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตาปลาขึ้นตามผิวหนัง ควรหมั่นขัดผิวส่วนที่เริ่มด้านออก ใส่ถุงเท้า หรือรองเท้าที่พอดีกับเท้าเพื่อลดการเสียดสี หรือในกรณีที่ผิวหนังแข็งจนเกินไปแล้ว สามารถใช้การยิงเลเซอร์เพื่อรักษาได้
6. เส้นเลือดขอด
โรคเส้นเลือดขอดเกิดจากภาวะหลอดเลือดดำที่อยู่บริเวณผิวหนังมีการขยายตัวผิดปกติ ทำให้เห็นเป็นเส้นเลือดปูดออกมาตรงผิวหนัง มีอยู่ 2 ประเภท คือ เป็นเส้นเลือดฝอยคล้ายใยแมงมุมและเส้นเลือดขอดคล้ายเส้นเลือดโป่ง ถ้ามีอาการรุนแรงจะเริ่มรู้สึกเจ็บ ขาหนัก อึดอัด ปวดกล้ามเนื้อ แสบร้อน ถ้าต้องยืนนาน ๆ อาการจะหนักกว่าเดิม ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาก่อนที่จะเป็นแบบเรื้อรัง
7. หูดข้าวสุก
เป็นอีกหนึ่งโรคผิวหนังที่สามารถต่อต่อจากคนสู่คนได้ เพราะโรคหูดข้าวสุก เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 3 -12 สัปดาห์ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนครึ่งวงกลม มีสีเนื้อและขาวขุ่น แข็งแต่ผิวเรียบมัน จะอยู่รวมเป็นกลุ่มหรือขึ้นเป็นแนวยาว
โรคนี้ยังไม่มยารักษาโดยตรง แต่สามารถรักษาด้วยการจี้ด้วยความเย็น การบ่งออก หรือใช้ยาทาเพื่อสลายหูดได้ พยายามอย่าแกะ เกา หรือทำให้เป็นแผลเพราะอาจจะเกิดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรกซ้อนได้
8. ส้นเท้าแตก
อาการส้นเท้าแตกเกิดจากภาวะผิวขาดน้ำและภาวะที่เคราตินทำงานมากจนเกินไป เมื่อรวมกับพฤติกรรมที่ต้องใช้เท้าอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดรอยแตกและลงลึกไปถึงชั้นผิวหนังแท้ได้ ส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดเมื่อลงน้ำหนักไปที่เท้า และเกิดเป็นแผลที่ไม่สวยงาม ถ้ามีอาการรุนแรง เกิดเป็นแผลพุงพอง ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ซึ่งเป็นอันตรายมาก ๆ ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงต้องป้องกันและหมั่นบำรุงส้นเท้าอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ผิวหนังแห้งจนแตกได้
บทความแนะนำ
