โรคติดต่อทางผิวหนัง มักจะเป็นโรคที่สร้างความรำคาญใจให้กับใครหลายคนไม่น้อย หลาย ๆ โรคก็มาพร้อมกับอาการคัน ผื่นแดง หรือเป็นแผลพุพอง แต่ไม่ว่าจะอาการไหน เมื่อได้เป็นแล้ว ก็ต้องใช้เวลารักษาสักระยะหนึ่ง และผู้ป่วยก็จำเป็นต้องอดทนต่ออาการต่าง ๆ ด้วยตัวเอง และพยายามลดการสัมผัสในบริเวณนั้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจจะทำให้อาการหนักขึ้นได้ วันนี้เราจึงมีข้อมูลที่น่าสนใจของโรคผิวหนัง ที่คาดว่าจะต้องมีคนเคยเป็นอย่างแน่นอนมาฝากกัน
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเริม
เมื่อพูดถึงโรคผิวหนังอาจจะคิดถึงอาการคัน หรือผื่นแดงที่มักจะเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แต่มีอีกหนึ่งโรคผิวหนังที่ค่อนข้างให้ความรู้สึกว่าน่ากลัวและอันตราย เพราะเป็นโรคติดต่อที่สามารถติดต่อได้ทางผิวหนังและทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งก็คือโรคเริมนั่นเอง โดยโรคเริม หรือ Herpes simplex (HSV) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะแสดงอาการออกมาในลักษณะของตุ่มน้ำใส เป็นแผลพุพอง มีอาการคัน ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการที่บริเวณปาก แต่ถ้าติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ก็จะมีอาการเกิดขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ
ผู้ป่วยโรคเริมจะเริ่มมีอาการคันที่บริเวณที่ติดเชื้อ ส่วนใหญ่มักจะเกิดที่บริเวณริมฝีปาก ลิ้น และอวัยวะเพศ โดยจะมีตุ่มน้ำใสและแผลพุพองขึ้นในบริเวณนั้น ทำให้ทั้งคันและรู้สึกเจ็บแสบ จากนั้นก็จะเริ่มมีไข้ ปวดหัว ปวดเมื่อยไปทั้งตัว รู้สึกระคายเคืองที่บริเวณอวัยวะเพศ หรือบริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก มีอาการปวดแสบขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ อวัยวะเพศบวมแดง ในเพศหญิงอาจจะมีอาการตกขาวร่วมด้วย
เริม เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Herpes simplex หรือ HSV ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ HSV -1 ที่เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคเริมที่ปาก และ HSV-2 ที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ เมื่อได้รับหรือสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วยผ่านทางใดทางหนึ่งไม่ว่าจะทั้งทางตรงและทางอ้อม และได้รับเชื้อเข้าสู่ร่ายกาย ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคเริมได้
สำหรับโรคเริมในอวัยวะเพศชายนั้น จะพบเชื้อไวรัส HSV พบได้ในสารคัดหลั่งอย่างน้ำอสุจิและน้ำลาย ซึ่งตัวเชื้อไวรัสนั้น ความจริงแล้วไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ เมื่อได้สัมผัสกับอากาศภายนอกร่างกายก็จะตายอย่างรวดเร็ว จึงทำให้โอกาสที่จะติดจากการใช้สิ่งของต่าง ๆ ค่อนข้างยาก แต่ถ้าผู้ชายไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่สวมถุงยางอนามัย ก็มีโอกาสติดได้ง่ายขึ้น
ซึ่งอาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศชายนั้นจะเริ่มมีอาการคัน และมีแผลบวมแดง เป็นตุ่มน้ำใสและแผลพุพองตรงบริเวณส่วนหัวขององคชาต ถุงอัณฑะ ก้น รูทวาร และขาหนีบ เป็นต้น จากนั้นก็จะมีอาการปวดแสบและขัดขณะปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์ รู้สึกไม่สบายตัว มีไข้และอ่อนเพลีย
เชื้อไวรัส HSV จะเข้าสู่ร่างกายและฝังตัวอยู่บริเวณเส้นประสาทตรงอุ้งเชิงกราน และเมื่อเชื้อไวรัสเข้าสู่เส้นประสาทก็จะค่อย ๆ แสดงอาการออกมาทางผิวหนัง อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเชื้อไวรัสนั้นทนต่อสภาวะอากาศภายนอกร่างกายได้ไม่ดี ดังนั้น ที่ผู้หญิงหลายคนกังวลว่าจะติดเชื้อจากการเข้าห้องน้ำต่อจากคนอื่น หรือให้ของร่วมกันก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก การที่จะติดเชื้อ HSV ได้จริง ๆ มักจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือมีการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่าย
อาการที่มักจะพบได้ในผู้หญิง เช่น มีอาการคันที่อวัยวะเพศ เป็นพุพองและมีตุ่มน้ำใส รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเหมือนมีอะไรมาทิ่มที่บริเวณนั้น มีอาการบวมแดงและแสบร้อนบริเวณรอบปากมดลูก ขาหนีบ ทวารหนัก รวมทั้งมีตกขาวที่มีกลิ่นคาวร่วมด้วย
การเกิดโรคเริมที่ปากนั้นมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่มีโอกาศเกิดซ้ำได้อีก โดยอาการที่ชัดเจนก็คือการมีตุ่มน้ำใส และแผลพุพองขึ้นบริเวณรอบริมฝีปาก ลิ้น หรือใบหน้า เมื่อหายแล้วแต่ได้รับการกระตุ้นอีกก็จะทำให้กลับมาเป็นอีกได้ แต่ในครั้งถัดไป ระยะการฟักตัวของเชื้อไวรัสจะให้เวลานานขึ้น อาการก็จะไม่หนักเท่าครั้งแรก และจะหายได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่แล้ว เชื้อไวรัส HSV จะเข้าสู้ร่างกายผ่านทางการสัมผัสกันทางทางตรงและทางอ้อม เมื่อผู้ป่วยได้มีการแลกเปลี่ยนเชื้อผ่านทางการสัมผัสต่าง ๆ ไม่ว่าการจูบ หอมแก้ม ออรัลเซ็กส์ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การสัมผัสถูไถระหว่างอวัยวะเพศ การใช้เซ็กส์ทอยร่วมกับผู้อื่น การสัมผัสกับแผลติดเชื้อ หรือตุ่มน้ำพอง การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกผ่านการคลอดบุตร หรือแม่ที่ให้นมบุตร ล้วนสามารถแพร่เชื้อได้ทั้งสิ้น
แพทย์จะเริ่มรักษาโดยการพิจารณาลักษณะของตุ่มน้ำและทำการทดสอบทางแล็บปฏิบัติการ เพื่อวัดระดับภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส HSV ของผู้ป่วยว่าอยู่ระดับไหน และจะให้ยาต้านไวรัสเพื่อยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัส HSV ร่วมกับยาระงับความเจ็บปวดเพื่อไม่ให้แผลลุกลาม จะใช้เวลารักษาประมาณ 7-10 วัน