แผลริมอ่อน คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi (ฮีโมฟิลุสดูเครย์) ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเป็นแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ คล้าย เริม ซิฟิลอส เป็นต้น ทำให้รู้สึกเจ็บอยู่ตลอด
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นับว่าเป็นโรคที่ค่อนข้างรุนแรง และจำเป็นต้องมีการรักษาอย่างรวดเร็วและถูกวิธี เพื่อไม่ให้อาการของโรคลุกลามจนกลายเป็นอาการหนักได้ หลาย ๆ โรคที่ได้รับมาจากการมีเพศสัมพันธ์อาจจะมีอันตรายจนทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น หากคุณต้องการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นก็จำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อน เพื่อสุขภาพของตัวคุณเอง
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ แผลริมอ่อน
โรคแผลริมอ่อน หรือ Chancroid ก็เป็นอีกหนึ่งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีผู้ป่วยค่อนข้างเยอะ โรคนี้จะติดได้ก็ต่อเมื่อคุณได้รับเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi เข้ามาในร่างกายผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เมื่อเจ้าเชื้อแบคทีเรียตัวนี้เข้าสู่ร่างกายก็จะส่งผลให้เกิดเป็นแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ ทำให้รู้สึกเจ็บอยู่ตลอด และเมื่อมีอาการหนักขึ้น ก็จะส่งผลต่อต่อมน้ำเหลือง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมาก ๆ
เชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคแผลริมอ่อนก็คือ Haemophilus Ducreyi เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ เกิดได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ถ้าเกิดมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อแบคทีเรียนี้อยู่ ก็จะสามารถติดต่อกันได้ ถือว่าเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย มีผู้ป่วยที่ติดโรคและต้องรักษาอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ก็จะเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแผลริมอ่อนและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้
เมื่อผู้ป่วยได้รับเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเริ่มมีอาการของโรคแสดงออกมาหลังจากได้ได้รับเชื้อไปแล้ว 3-7 วัน โดยอาการเริ่มแรกจะมีแผลที่มีลักษณะเปื่อยเล็กน้อยและเป็นตุ่มที่บริเวณอวัยวะเพศ ขอบแผลจะค่อนข้างนูน มีหนอง และถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลให้ดี แผลก็จะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น มีหนองมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก
โดยเฉพาะเวลาทำธุระส่วนตัวอย่างการปัสสาวะหรืออุจจาระ และถ้ายังมีเพศสัมพันธ์อยู่อาการก็จะยิ่งหนักกว่าเดิม อาจจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตมากขึ้นในบริเวณขาหนีบ ต้องรีบไปทำการรักษาก่อนที่จะกลายมาเป็นฝีขนาดใหญ่และสร้างความเจ็บปวดได้มากกว่าเดิม
ความจริงแล้วการเป็นโรคแผลริมอ่อนก็ค่อนข้างอันตรายพอสมควร เพราะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ถ้าไม่มีการดูแลรักษาให้ดีและถูกวิธีก็อจจะทำให้อาการยิ่งแย่ลงไปได้ นอกจากอาการที่จะเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยทุกคนอย่างเช่น การเป็นแผลที่บริเวณอวัยวะเพศ มีหนองที่แผล ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและเป็นฝี ถ้าปล่อยไว้นานก็อาจจะทำให้เกิดรอยทะลุของท่อปัสสาวะ (Urethral Fistula) ได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่ค่อนข้างอันตรายนอกจากนี้ ในผู้ชายที่ยังไม่เคยขลิบเอาหนังหุ้มตรงส่วนปลายของอวัยวะเพศออก ก็มีโอกาสที่จะเกิดแผลเป็นที่หนังหุ้มปลายได้
ระยะฟักตัวของโรคแผลริมอ่อนคือ หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi ไปแล้วประมาณ 3-7 วัน จากนั้นก็จะเริ่มแสดงอาการของโรคออกมา ถ้าหากรู้ตัวว่าตัวเองมีพฤติกรรมเสี่ยง มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ก็ต้องรอดูอาการก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่นอนของตัวเองได้รับเชื้อไปด้วย ช่วยลดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ลงไปได้ และเมื่อมีอาการก็ต้องรักษาอย่างถูกวิธี เพราะถึงแม้โรคติดต่อชนิดนี้จะค่อนข้างอันตรายแต่ก็สามารถรักษาให้หายได้
เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษา แพทย์จะต้องทำการตรวจและวินิจฉัยโรคอย่างละเอียดก่อน เพื่อดูว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียอะไร ซึ่งการตรวจก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับแพทย์แต่ละคน โดยหลักแล้วจะมีวิธีที่ใช้ตรวจก็คือ การป้ายตกขาวใส่สไลด์แก้ว และย้อมสีดูเชื้อ วิธีนี้จะมีข้อดีตรงที่ได้ผลเร็ว แถมราคาถูก แต่ผลที่ได้ก็อาจจะไม่แม่นยำเท่าไหร่ เพราะถ้าบางคนมีเชื้อน้อย ก็อาจจะตรวจไม่เจอ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพึ่งพาความชำนาญของผู้ตรวจเป็นส่วนใหญ่ เพราะถ้าดูไม่ละเอียดก็อาจจะทำให้วินิจฉัยพลาดได้
แต่ถ้าอยากได้การตรวจที่แม่นยำเพิ่มขึ้นก็มีวิธีการเพาะเชื้อ เป็นวิธีที่จะเห็นได้ชัดเจนว่าเชื้อที่เราติดนั้นมีอะไรบ้าง แถมยังรู้ได้อีกว่าตัวเชื้อนั้นดื้อยาหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นว่าจะเป็นวิธีที่ค่อนข้างดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ในขั้นตอนการเก็บเชื้อ เพราะถ้าเชื้อตายไปแล้ว หรือมีการปาดเก็บเชื้อได้ไม่ตรงจุด ก็ไม่สามารถระบุเชื้อที่ติดได้ และยังต้องใช้สารเพาะเชื้อที่เป็นแบบจำเพาะเพื่อเก็บตัวอย่างเชื้ออีกด้วย
แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เจริญก้าวหน้าขึ้น ปัจจุบันมีการตรวจ Polymerase Chain Reaction เข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้ป่วยได้อีกทาง โดยการตรวจ Polymerase Chain Reaction หรือ PCR นั้นจะมีความแม่นยำสูง ตรวจได้ทั้ง DNA ของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสหลายชนิด และเป็นวิธีที่จะตรวจด้วยตัวเองหรือไปให้แพทย์ตรวจให้ก็ได้
อาการของแผลริมอ่อนนั้นจะใช้เวลาเพื่อรักษามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผล แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน แผลก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ก็ต้องมีการรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้อหรืออักเสบเพิ่มเติม
สำหรับคนที่อาการไม่หนักมาก แผลริมอ่อนสามารถหายเองได้โดยที่ไม่ต้องไปพบแพทย์ แต่ก็ค่อนข้างสร้างความลำบากให้กับผู้ป่วยพอสมควร เพราะอาการเจ็บแสบ ปวดขัดต่างจะค่อนข้างก่อกวนจนกระทบไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น ถ้าอยากให้อาการของแผลริมอ่อนหายอย่างรวดเร็วและมั่นใจว่าเชื้อแบคทีเรียได้หมดไปแล้วจริง ๆ ก็ควรเข้ารับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด นอกจากแผลจะหายเร็วแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อใหม่ได้อีกด้วย
ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาโรคแผลริมอ่อนได้ตามโรงพยาบาลทั่วไป เพียงแค่แจ้งอาการ และบอกพฤติกรรมและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่ทำให้คาดว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดโรค เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น หรือสามารถไปตรวจกับโรงพยาบาลหรือคลินิคเฉพาะทางสูตินรีเวชก็ได้ เพราะสามารถตรวจได้เช่นกัน
เนื่องจากการเป็นแผลริมมอ่อน อาการก็คล้ายกับเวลาที่เป็นแผลตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น อาหารการกินก็ควรจะระมัดระวังเหมือนกัน พยายามไม่กินของแสลงที่จะทำให้เกิดการอักเสบที่แผลได้ และหมั่นกินอาหารที่มีประโยชน์ ก็จะเป็นการช่วยให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกัน และมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมบาดแผลหรือส่วนที่สึกหรอต่าง ๆ โดยอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ที่สามารถมากระตุ้นอาการให้รุนแรงขึ้นได้
แม้ว่าจะมีการรักษาจนหายดี และเชื้อแบคทีเรีย Haemophilus Ducreyi ได้ถูกกำจัดจนหมดไปแล้ว แต่ถ้าคุณยังคงใช้ชีวิตด้วยความเสี่ยง เช่น การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน พฤติกรรมการเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ก็มีโอกาสที่จะได้รับเชื้อมาใหม่และเป็นโรคแผลริมอ่อนอีกครั้ง และนอกจากโรคแผลริมอ่อนแล้ว ก็มีโอกาสที่จะติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหนองใน ซิฟิลิส หรือแม้กระทั่งโรคเอดส์ก็สามารถเป็นได้เช่นกัน