ถ้าพูดถึงโรคติดต่อที่มีอาการรุนแรงและมักจะพบได้ในเด็ก หลาย ๆ คนก็น่าจะจะต้องนึกถึงโรคโปลิโอกันอย่างแน่นอน ซึ่งในสมัยก่อนที่การแพทย์ยังไม่ได้มีการพัฒนาเหมือนกับปัจจุบัน มีเด็กและผู้ใหญ่ได้ป่วยเป็นโรคโปลิโอเป็นจำนวนมาก แต่ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะมีวัคซีนที่ใช้ฉีดเพื่อป้องกันแล้ว โรคติดต่อชนิดนี้ก็ยังคงเป็นโรคที่ต้องคอยป้องกันและเฝ้าระวังกันให้ดี เพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยติดเชื้อและแพร่ระบาดสู่คนอื่น ๆ ได้
โรคโปลิโอ หรือชื่อไทยก็คือ โรคไข้ไขสันหลังอักเสบ เมื่อร่างกายของเราได้รับเชื้อโรคเข้าไป และมีการติดเชื้อไวรัสอย่างรุนแรง ก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก เพราะตัวเชื้อไวรัสนั้นจะเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลางของร่างกาย และยังเป็นตัวที่ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการกล้ามเนื้อเสียหาย ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อฝ่อ อ่อนแรง เป็นอัมพาตอ่อนเปียก (Flaccid paralysis) ไม่สามารถขยับแขนหรือขาได้
ถ้ามีอาการที่รุนแรงก็อาจจะทำให้เสียชีวิตเลยทีเดียว เป็นโรคที่มักจะพบได้ในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ ผู้ปกครองจึงควรพาบุตรหลานไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโปลิโอให้ครบถ้วน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและการเกิดอาการรุนแรงเมื่อได้รับเชื้อได้
เนื่องจากโรคโปลิโอเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ดังนั้นผู้ป่วยจึงสามารถกลายเป็นพาหะแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ จึงต้องสังเกตุอาการให้ดีว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ โดยอาการหลัก ๆ ของโรคโปลิโอนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
กลุ่มนี้มีจำนวนมากถึง 70-90% ของผู้ป่วยโปลิโอทั้งหมด แต่ถึงแม้ว่าจะไม่แสดงอาการ แต่ก็สามารถเป็นพาหะส่งต่อเชื้อไวรัสได้
กลุ่มนี้จะมีอาการคล้ายกับเป็นไข้หวัด อ่อนเพลีย รู้สึกอ่อนล้า เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องร่วง เจ็บคอ ปวดหัว มีไข้เล็กน้อย และอาการต่าง ๆ จะหายได้ใน 3 วัน
แม้ว่ากลุ่มอาการนี้จะพบได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอาการเพียงเล็กน้อยมาก่อน จากนั้นอาการก็จะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่น มีอาการคอแข็งเกร็ง ปวดหัวอย่างรุนแรง รู้สึกเหมือนมีหนามมาแทงที่แขนขา มีอาการตาแพ้แสง และการตอบสนองของร่างกายจะเริ่มช้าลง
จะถูกแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1 กลุ่มที่มีอาการอัมพาตระยะที่ 1 และระยะที่ 2 โดยร่างกายจะเริ่มมีอาการปวดตามกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉียบพลัน เริ่มเป็นอัมพาตตามแขน ขา และลำตัว การตอบสนองของระบบประสาทจะค่อย ๆ ลดลง และเมื่อมีการติดเชื้อเข้าไปในร่างกายอย่างเฉียบพลัน ตัวเชื้อไวรัสก็จะไปทำลายเส้นประสาทที่สมองได้ ส่งผลให้การทำงานของร่างกายเกิดความผิดปกติ และอาจจะรุนแรงจนกลายเป็นอัมพาตและเสียชีวิตเลยก็ได้
โรคโปลิโอเกิดจากเชื้อไวรัส โปลิโอ (Poliovirus) เป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม Enterovirus ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปากและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นโรคติดต่อที่สามารถรับเชื้อจากผู้ป่วยคนอื่นได้ ส่วนใหญ่แล้วจะได้รับเชื้อทางการดื่มน้ำหรือกินอาหารร่วมกันกับผู้ป่วย เมื่อเชื้อได้เข้าสู่ร่างกายแล้ว ก็จะแตกตัวเพิ่มจำนวนของตัวเองที่บริเวณลำคอหรือต่อมทอนซิล และเข้าสู่กระเพาะอาหาร เป็นทางผ่านเพื่อที่จะไปตามจุดสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งจะมีเชื้อไวรัสเพียง 1-2% เท่านั้นที่จะสามารถแตกตัวเข้าสู่กระแสเลือด เซลล์ประสาทไขสันหลังและก้านสมองได้
โรคโปลิโอนั้นเป็นโรคติดต่อที่ต้องมีการติดเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น ไม่ใช่โรคติดต่อทางพันธุกรรม ดังนั้น ผู้ป่วยโปลิโอที่รักษาจนหายดีแล้วสามารถมีลูกได้ และสามารถป้องกันไม่ให้ลูกติดโรคได้โดยการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์
วิธีการป้องกันโรคโปลิโอที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันและต้องหยอดวัคซีนกระตุ้นซ้ำให้ครบตามคำแนะนำของแพทย์ โดยปกติแล้วจะต้องรับวัคซีนทั้งหมด 5 ครั้ง เริ่มตั้งแต่อายุ 2 เดือน ไปจนถึง 4 ปี พ่อแม่ ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของตัวเองไปรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และหมั่นล้างมือ ดูแลความสะอาดสิ่งของที่จะเข้าปากให้ดี เพื่อป้องกันการติดโรคได้อีกทาง
ประเทศไทยของเรานั้นมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโปลิโอมาอย่างยาวนาน และมีพัฒนาสูตรของวัคซีนเพื่อให้ได้ผลที่ดีอยู่ตลอด โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มีการใช้วัคซีนป้องกันโปลิโอตัวใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันมากขึ้น เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันและยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความพิการได้อีกด้วย ซึ่งมีทั้งแบบชนิดฉีดและหยอด การรับวัคซีนก็จะเป็นไปตามที่แพทย์กำหนด
เนื่องจากเชื้อไวรัสโปลิโอสามารถแพร่เข้าสู่กระแสเลือด ระบบประสาทไขสันหลัง และระบประสาทการควบคุมได้ จึงทำให้เจ้าเชื้อร้ายเข้ามาทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีผลต่อการควบคุมกล้ามเนื้อ ผู้ป่วยโรคโปลิโอจึงมีโอกาสที่จะพิการสูงมาก และโรคนี้ก็คำให้มีผู้พิการเป็นจำนวมากเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วจะมีอาการกล้ามเนื้อฝ่อ ส่งผลให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงตามมา และอาจจะรุนแรงไปจนถึงกลายเป็นโรคอัมพาตเลยก็เป็นได้ ดังนั้น จึงต้องมีการป้องกันด้วยการฉีดวัคซีนไว้จะดีที่สุด