ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นหนึ่งในไวรัสที่พบได้บ่อยและสามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องปาก และมะเร็งทวารหนัก การฉีดวัคซีน HPV จึงเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันที่สำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและโรคที่เกี่ยวข้องกับ HPV แต่ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีนนี้ และควรฉีดเมื่อไหร่? บทความนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้
วัคซีน HPV คืออะไร?
วัคซีน HPV เป็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV บางสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและหูดที่อวัยวะเพศ ปัจจุบันมีวัคซีน HPV หลายชนิด เช่น วัคซีนชนิด 2 สายพันธุ์, 4 สายพันธุ์, และ 9 สายพันธุ์ ซึ่งครอบคลุมสายพันธุ์ที่พบบ่อยและอันตราย

ไวรัส HPV อันตรายอย่างไร?
ไวรัส HPV (Human Papillomavirus) เป็นไวรัสที่พบได้บ่อยและสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนัง โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์ แม้ว่าไวรัส HPV ส่วนใหญ่จะไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงและสามารถหายได้เอง แต่บางสายพันธุ์ของไวรัสนี้สามารถนำไปสู่โรคที่ร้ายแรงได้
1. ก่อให้เกิดมะเร็ง
ไวรัส HPV บางสายพันธุ์จัดเป็นสายพันธุ์ความเสี่ยงสูง (High-risk HPV) ซึ่งสามารถทำให้เซลล์ปกติเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งได้ หลัก ๆ ได้แก่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องปากและลำคอ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งอวัยวะเพศ
2. ก่อให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ
สายพันธุ์ HPV ความเสี่ยงต่ำ (Low-risk HPV) เช่น สายพันธุ์ 6 และ 11 อาจไม่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่สามารถทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศและบริเวณรอบ ๆ ได้ หูดเหล่านี้แม้จะไม่ร้ายแรง แต่สร้างความรำคาญและส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
3. การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก
ในกรณีที่พบได้น้อย การติดเชื้อ HPV ในช่องคลอดของแม่อาจทำให้ทารกที่คลอดผ่านทางช่องคลอดติดเชื้อได้ ซึ่งอาจนำไปสู่โรคหูดที่กล่องเสียงในทารก (Recurrent Respiratory Papillomatosis)
4. การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการ
หลายคนที่ติดเชื้อ HPV อาจไม่แสดงอาการใด ๆ ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อและสามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้โดยไม่ตั้งใจ การติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการนี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไวรัส HPV แพร่กระจายได้ง่าย

ใครบ้างที่ควรฉีดวัคซีน HPV?
1. ผู้ที่มีอายุระหว่าง 9-26 ปี
เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่ควรได้รับวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการติดเชื้อก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก โดยช่วงอายุหลักที่แนะนำคือ 9-14 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี และยังไม่มีการสัมผัสกับไวรัส
2. ผู้ที่มีอายุมากกว่า 26 ปี
สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการรับวัคซีน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ HPV
3. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เช่น ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ควรได้รับวัคซีน HPV เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรง
4. ผู้ที่มีประวัติผลตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ
หรือเคยเป็นรอยโรคก่อนมะเร็งที่ปากมดลูก หรือเคยเป็นหูดหงอนไก่ ควรได้รับวัคซีน HPV เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซ้ำ
จำนวนเข็มที่ต้องฉีด
1. เด็กหญิงและเด็กชายอายุ 9-14 ปี ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 6-12 เดือน
2. ผู้ที่มีอายุ 15-26 ปี ฉีด 3 เข็ม โดยเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1-2 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน
3. ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ฉีด 3 เข็มเช่นเดียวกับผู้ที่มีอายุ 15-26 ปี
ประโยชน์ของการฉีดวัคซีน HPV
1. ป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีน HPV ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70-90% ขึ้นอยู่กับชนิดของวัคซีน
2. ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับ HPV เช่น มะเร็งช่องปาก มะเร็งทวารหนัก และหูดที่อวัยวะเพศ
3. ลดการแพร่กระจายของไวรัส การฉีดวัคซีนไม่เพียงแต่ป้องกันตนเอง แต่ยังช่วยลดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นด้วย

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัคซีน HPV
1. วัคซีน HPV มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ HPV และโรคที่เกี่ยวข้อง
2. การฉีดวัคซีน HPV ควรทำก่อนการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
3. วัคซีน HPV ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อ HPV ที่เกิดขึ้นแล้วได้
4. การฉีดวัคซีน HPV ไม่สามารถทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ ผู้หญิงทุกคนควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกตามคำแนะนำของแพทย์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวัคซีน HPV
คำถาม: หากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ยังฉีดวัคซีนได้ไหม?
ได้ แต่ประสิทธิภาพอาจลดลงหากเคยติดเชื้อ HPV มาก่อน
คำถาม: วัคซีน HPV มีผลข้างเคียงไหม?
ผลข้างเคียงส่วนใหญ่เป็นเพียงเล็กน้อย เช่น ปวดบริเวณที่ฉีด มีไข้ต่ำๆ
คำถาม: ต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหลังฉีดวัคซีนไหม?
ต้องตรวจตามปกติ เนื่องจากวัคซีนไม่สามารถป้องกัน HPV ทุกสายพันธุ์ได้
สรุป
วัคซีน HPV เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และโรคที่เกี่ยวข้อง เช่น มะเร็งปากมดลูก กลุ่มเป้าหมายหลักคือวัยรุ่นอายุ 9-14 ปี แต่ผู้ใหญ่และผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงก็สามารถฉีดได้ การฉีดวัคซีนควรทำก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการฉีดวัคซีนที่เหมาะสมกับอายุและสุขภาพของคุณ