โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป เนื่องจากกระดูกอ่อนผิวข้อมีการเสื่อมสภาพตามวัย นอกจากนี้ ยังพบในกลุ่มคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า ผู้ที่มีอาชีพที่ต้องใช้ข้อเข่าหนัก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น ข้อเข่าผิดรูป เคลื่อนไหวลำบาก และส่งผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ในผู้สูงอายุได้ ปัจจุบัน เทคโนโลยีการแพทย์ทำให้ทางเลือกในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมในไทยมีหลากหลายขึ้น ผู้ป่วยจึงควรศึกษาและเลือกรูปแบบการรักษาให้เหมาะสมกับตัวเอง

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเป็นวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมที่คนไทยคุ้นเคยดีที่สุด ด้วยการผ่าตัดใหญ่ที่นำข้อเข่าที่เสียหายออก แล้วใส่ข้อเข่าเทียมเข้าไปแทนที่ โดยข้อเข่าเทียมทำจากวัสดุทางการแพทย์ เช่น โลหะผสม ไทเทเนียม หรือพลาสติกชนิดพิเศษ
ภาวะที่เหมาะสมกับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
1. ผู้ป่วยที่มีอาการปวดข้อเข่ารุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
2. ผู้ป่วยที่มีข้อเข่าเสื่อมสภาพมาก จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
3. ผู้ป่วยที่มีสุขภาพโดยรวมแข็งแรงพอที่จะเข้ารับการผ่าตัด
ข้อเสียของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม:
1. ความเสี่ยงในการผ่าตัด เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือลิ่มเลือดอุดตัน
2. ระยะเวลาพักฟื้น ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานประมาณ 2-3 เดือน
3. ข้อจำกัดในการใช้งาน ข้อเข่าเทียมอาจมีข้อจำกัดในการใช้งานบางอย่าง เช่น การนั่งยอง ๆ หรือการเล่นกีฬาที่ต้องมีการกระแทก
4. อายุการใช้งาน ข้อเข่าเทียมมีอายุการใช้งานประมาณ 15-20 ปี อาจต้องผ่าตัดแก้ไขในอนาคตหากข้อเข่าเทียมเสื่อมสภาพ

การส่องกล้องผ่าตัดข้อเข่า
การส่องกล้องผ่าตัดข้อเข่าเป็นวิธีการผ่าตัดที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยแพทย์จะสอดกล้องขนาดเล็กที่มีไฟและเลนส์ขยายเข้าไปในข้อเข่าผ่านรอยเจาะขนาดเล็กประมาณ 1 เซนติเมตร จากนั้นแพทย์จะมองภาพภายในข้อเข่าผ่านจอภาพและใช้เครื่องมือขนาดเล็กพิเศษทำการซ่อมแซมหรือตัดแต่งส่วนที่เสียหายภายในข้อเข่า
ข้อดีของการส่องกล้องผ่าตัดข้อเข่า
1. แผลผ่าตัดเล็ก ทำให้เจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และแผลเป็นมีขนาดเล็ก
2. ฟื้นตัวเร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้เร็วขึ้น และใช้เวลาพักฟื้นสั้นกว่าการผ่าตัดแบบเปิด
3. แม่นยำ กล้องส่องกล้องช่วยให้แพทย์มองเห็นรายละเอียดภายในข้อเข่าได้ชัดเจน ทำให้การผ่าตัดมีความแม่นยำมากขึ้น
4. ลดความเสี่ยง ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การเสียเลือดมาก หรือการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง
ข้อเสียของการส่องกล้องผ่าตัดข้อเข่า
1. ข้อจำกัดในการรักษา ไม่สามารถใช้รักษาได้กับทุกภาวะของข้อเข่าเสื่อม บางกรณีอาจจำเป็นต้องผ่าตัดแบบเปิด
2. ความเสี่ยงในการติดเชื้อ แม้จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิด แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้
3. อาการบวม หลังผ่าตัดอาจมีอาการบวมของข้อเข่าและเนื้อเยื่อข้างเคียงได้บ้าง
4. ต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การส่องกล้องผ่าตัดข้อเข่าต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์

การรักษาด้วยเซลล์บำบัด (Cell Therapy)
การใช้สเต็มเซลล์ฉีดเข้าเข่าเป็นเทคโนโลยีการแพทย์ล่าสุดที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมและกำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน โดยมีหลักการคือการใช้สเต็มเซลล์ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ มาซ่อมแซมกระดูกอ่อนที่สึกหรอในข้อเข่า
ข้อดีของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
1. เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากใช้สเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเอง
2. สามารถช่วยลดอาการปวดและเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า
3. อาจช่วยชะลอการเสื่อมของข้อเข่าและลดความจำเป็นในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในอนาคต
ข้อจำกัดของการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
1. การรักษาด้วยสเต็มเซลล์อาจไม่ได้ผลในผู้ป่วยทุกราย
2. ปัญหาสุขภาพบางอย่างในผู้สูงอายุ อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น รูมาตอยด์ หรือการรับประทานยาบางชนิด
2. การรักษายังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
3. ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว
สรุป
ในประเทศไทย การรักษาข้อเข่าเสื่อมมีหลากหลายทางเลือก ตั้งแต่การดูแลตนเองเบื้องต้น เช่น การลดน้ำหนักและการออกกำลังกาย หากอาการไม่ดีขึ้น การใช้ยาแก้ปวดหรือยาฉีดเข้าข้ออาจช่วยบรรเทาอาการได้ สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง การส่องกล้องผ่าตัดหรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมอาจเป็นทางเลือกที่จำเป็น นอกจากนี้ การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด