เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ร่างกายของผู้สูงอายุมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งระบบการย่อยอาหาร การดูดซึมสารอาหาร และความต้องการพลังงานที่ลดลง สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารมากขึ้น ดังนั้น การดูแลโภชนาการในผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องสำคัญ และหนึ่งในคำถามที่พบบ่อยคือ “อาหารเสริมจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุหรือไม่?” บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยและให้ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องโภชนาการในผู้สูงอายุ รวมถึงบทบาทของอาหารเสริมในชีวิตประจำวัน
อาหารเสริมคืออะไร?
อาหารเสริมคือผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อเสริมสารอาหารที่ร่างกายอาจได้รับไม่เพียงพอจากอาหารประจำวัน เป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาโภชนาการในผู้สูงอายุ อาหารเสริมมีหลายรูปแบบ เช่น เม็ด แคปซูล ผง หรือของเหลว และอาจประกอบด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กรดอะมิโน สมุนไพร หรือสารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
อาหารเสริม vs สารอาหารจากอาหารธรรมชาติ
อาหารเสริม
ข้อดี: สะดวก รวดเร็ว ช่วยเติมเต็มสารอาหารที่ขาดหายไป
ข้อเสีย: อาจมีสารเติมแต่งหรือส่วนผสมที่ไม่จำเป็น หากใช้ไม่ถูกต้องอาจเกิดผลข้างเคียง
สารอาหารจากอาหารธรรมชาติ
ข้อดี: ร่างกายดูดซึมได้ดีกว่า มีสารอาหารหลากหลาย ช่วยเสริมสร้างโภชนาการที่สมดุลในผู้สูงอายุ
ข้อเสีย: ผู้สูงอายุบางคนอาจมีปัญหาในการเคี้ยวหรือย่อยอาหาร ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
สรุป: อาหารธรรมชาติควรเป็นแหล่งสารอาหารหลัก ส่วนอาหารเสริมควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น

เมื่อไหร่ที่ผู้สูงอายุต้องการอาหารเสริม?
การใช้อาหารเสริมไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องทำเสมอไป เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพในผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุแต่ละรายควรต้องได้รับอาหารเสริมหรือไม่ สามารถพิจารณาจากปัจจัยทางด้านโภชนาการในผู้สูงอายุดังต่อไปนี้
1. ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากอาหาร เช่น ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่
2. มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคโลหิตจาง ซึ่งอาจเกิดจากการที่ร่างกายดูดซึมสารอาหารบางประเภทได้น้อยลง
3. ระบบย่อยอาหารและดูดซึมบกพร่อง ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่
4. รับประทานยาที่รบกวนการดูดซึมสารอาหาร เช่น ยาลดกรดที่อาจลดการดูดซึมวิตามินบี 12
สารอาหารที่มักขาดในผู้สูงอายุ
ตัวอย่างของสารอาหารที่มักขาดอันเนื่องมาจากปัญหาการดูดซึมหรือการรับประทานอาหาร และส่งผลต่อการดูแลสุขภาพในผู้สูงอายุ ได้แก่
1. วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและบำรุงกระดูก
2. แคลเซียม สำคัญสำหรับสุขภาพกระดูกและป้องกันโรคกระดูกพรุน
3. วิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและเลือด
4. โฟเลต ช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่และป้องกันภาวะโลหิตจาง
5. โอเมก้า-3 ช่วยบำรุงสมองและสุขภาพหัวใจ
6. โปรตีน ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

วิธีการเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ
การเลือกซื้ออาหารเสริม นอกจากจะพิจารณายี่ห้อซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายหรือน่าเชื่อถือแล้ว ยังควรพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
1. ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ และเข้ารับการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินความต้องการสารอาหารที่เฉพาะเจาะจง
2. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบฉลากและเลือกอาหารเสริมที่มีการรับรองจากองค์กรที่น่าเชื่อถือ
3. เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณเหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ การได้รับสารอาหารบางชนิดมากเกินไปอาจเป็นอันตราย ควรเลือกโดยคำนึงถึงปริมาณของสารอาหารที่ระบุไว้ในฉลากผลิตภัณฑ์ด้วย
4. เลือกรูปแบบที่เหมาะสม เช่น แคปซูลนิ่มหรือผงสำหรับผู้สูงอายุที่มีปัญหาในการกลืน
ข้อควรระวังในการใช้อาหารเสริม
คนทั่วไปมักมองว่าอาหารเสริมเป็นเพียงอาหาร ไม่มีพิษภัย แต่จริงๆ แล้วอาหารเสริมเป็นสารอาหารความเข้มข้นสูง การใช้โดยขาดความระมัดระวังอาจทำให้เกิดอันตราย หรือเกิดผลเสียต่อสุขภาพได้
1. ไม่ใช้แทนอาหารหลัก อาหารเสริมควรเป็นเพียงส่วนเสริม ไม่ใช่การรับประทานทดแทนอาหารบางหมวดหมู่ หรือบางประเภท เพื่อโภชนาการที่ดีผู้สูงอายุยังควรรับประทานอาหารให้หลากหลายและครบทุกหมวดหมู่
2. ระวังปฏิกิริยากับยา อาหารเสริมบางชนิดอาจรบกวนการทำงานของยา เช่น หากใช้ยาละลายลิ่มเลือดอยู่ การรับประทานวิตามินเคจะส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่ดี จนถึงขั้นไม่ได้ผล
3. ตรวจสอบส่วนผสม บางผลิตภัณฑ์อาจมีสารเติมแต่งหรือส่วนผสมที่ก่อให้เกิดอาการแพ้
4. ไม่ใช้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น การใช้อาหารเสริมเป็นเวลานานโดยไม่ปรึกษาแพทย์อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
5. ปฏิบัติตามข้อบ่งใช้อย่างเคร่งครัด ไม่เพิ่มหรือลดปริมาณ หรือปรับวิธีการใช้อาหารเสริมเองโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ

สรุป
อาหารเสริมอาจเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้สูงอายุที่ขาดสารอาหารหรือมีปัญหาสุขภาพ แต่ไม่ควรใช้แทนการรับประทานอาหารที่สมดุลและมีประโยชน์ การตรวจสุขภาพและขอรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนใช้อาหารเสริมเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้สูงอายุจะได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อร่างกาย