หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ที่มีอาการเลือดออกง่ายผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหลเองบ่อย ๆ ฟกช้ำง่ายกว่าคนทั่วไป หรือมีเลือดออกนานผิดปกติเมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของ “โรคเลือดออกง่าย” กลุ่มโรคที่ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิด หลายครั้ง โรคกลุ่มนี้เป็นโรคในเด็กที่นำไปสู่การพิการและเสียชีวิต
โรคเลือดออกง่ายคืออะไร?
โรคเลือดออกง่าย (Bleeding Disorders) คือภาวะที่ร่างกายมีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดหยุดไหลได้ยากกว่าปกติ หรือมีแนวโน้มที่จะมีเลือดออกเองโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน โรคเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ และโดยมากเป็นโรคทางพันธุกรรม

ทำความรู้จักกับกลุ่มโรคเลือดออกง่ายที่พบบ่อย
โรคเลือดออกง่ายมีหลายชนิด และสามารถแบ่งออกได้หลายกลุ่มตามสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด ดังนี้
1. โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเกล็ดเลือด
ผู้ป่วยมีภาวะเกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ แม้ว่าจำนวนเกล็ดเลือดจะปกติ แต่เกล็ดเลือดไม่สามารถทำงานได้ตามปกติในการเกาะตัวและอุดรอยรั่วของหลอดเลือด โรคทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุของภาวะนี้ เช่น โรค Glanzmann thrombasthenia, Bernard-Soulier syndrome
2. โรคที่เกิดจากความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
2.1 โรคฮีโมฟีเลีย เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากการขาดหรือมีความผิดปกติของปัจจัยการแข็งตัวของเลือดบางชนิด (Factor) ทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัวได้ หรือแข็งตัวได้ช้า
2.2 โรควิลลีแบรนด์ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มโรคเลือดออกง่าย เกิดจากการขาดหรือความผิดปกติของ Von Willebrand Factor (VWF) ซึ่งช่วยให้เกล็ดเลือดเกาะตัวและนำ Factor VIII ไปยังบริเวณที่เกิดบาดแผล
2.3 ภาวะขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดอื่นๆ อาจเกิดจากการขาดปัจจัยการแข็งตัวของเลือดชนิดอื่นๆ ซึ่งอาจเกิดจากโรคทางพันธุกรรมหรือภาวะที่ได้รับ
3. โรคที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือด
หลอดเลือดมีความเปราะบางและแตกง่าย ทำให้เกิดอาการเลือดออกได้ง่าย โรคทางพันธุกรรมที่เป็นสาเหตุ เช่น โรค Ehlers-Danlos syndrome, Hereditary Hemorrhagic Telangiectasia (HHT)
อาการที่บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคเลือดออกง่าย
หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
1. เลือดกำเดาไหลบ่อย หรือไหลนานผิดปกติ
2. ฟกช้ำง่ายกว่าปกติ โดยเฉพาะฟกช้ำขนาดใหญ่หรือเกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุ
3. มีจุดเลือดออกเล็กๆ สีแดงหรือม่วงตามผิวหนัง
4. มีจ้ำเลือด หรือรอยช้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นเอง
5. เลือดออกนานผิดปกติเมื่อได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เช่น มีดบาด หรือถอนฟัน
6. มีเลือดออกในปัสสาวะหรืออุจจาระ
7. ประจำเดือนมามากผิดปกติและนานกว่าปกติในผู้หญิง
8. มีเลือดออกหลังการผ่าตัดหรือการคลอดบุตรที่ผิดปกติ

อันตรายจากโรคเลือดออกง่าย
โรคเลือดออกง่ายสามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพและชีวิตของผู้ป่วยได้ในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อเป็นโรคในเด็ก ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค รวมถึงตำแหน่งและปริมาณเลือดที่ออก โดยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้
1. ภาวะเลือดออกรุนแรงและควบคุมได้ยาก
1.1 เลือดออกภายในข้อต่อ พบได้บ่อยในผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อเข่า ข้อศอก และข้อเท้า เลือดที่ออกสะสมในข้อต่อจะทำให้เกิดอาการปวด บวม และหากเป็นบ่อยครั้งอาจทำให้ข้อต่อเสื่อมสภาพและพิการได้
1.2 เลือดออกในกล้ามเนื้อ เลือดที่ออกในกล้ามเนื้ออาจทำให้เกิดอาการปวด บวม และกดทับเส้นประสาทหรือหลอดเลือดได้
1.3 เลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น เลือดออกในสมอง เลือดออกในช่องท้อง ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรงและอาจทำให้เสียชีวิตหรือเกิดความพิการถาวรได้
1.4 เลือดออกหลังการบาดเจ็บหรือผ่าตัด ผู้ป่วยโรคเลือดออกง่ายอาจมีเลือดออกมากและนานกว่าปกติหลังการได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หรือหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะช็อกจากการเสียเลือดได้
2. ภาวะแทรกซ้อนจากการเสียเลือด
2.1 ภาวะโลหิตจาง การเสียเลือดเรื้อรังหรือการเสียเลือดในปริมาณมาก ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และมีอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขาดออกซิเจน
2.2 ภาวะช็อก การเสียเลือดในปริมาณมากอย่างรวดเร็วอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงและเกิดภาวะช็อก ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การวินิจฉัยและการรักษาโรคเลือดออกง่าย
เมื่อสงสัยว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเลือดออกง่าย แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด การตรวจการแข็งตัวของเลือด และการตรวจหา Factor การแข็งตัวของเลือดเฉพาะชนิด
การรักษาโรคเลือดออกง่ายขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค การรักษาอาจรวมถึง
1. การให้ Factor การแข็งตัวของเลือดทดแทน (สำหรับผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย)
2. การให้ยาเพื่อกระตุ้นการสร้าง Factor หรือเพิ่มการทำงานของเกล็ดเลือด
3. การให้ยาเพื่อควบคุมการแข็งตัวของเลือดในบางกรณี
4. การให้เกล็ดเลือดทดแทนในกรณีที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำรุนแรง

สรุป
โรคเลือดออกง่ายเป็นกลุ่มโรคที่ไม่ได้ไกลตัวอย่างที่หลายคนคิด อาการเลือดออกง่ายผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ หากคุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตระหนักถึงอาการและเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้